ตะลุยเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายในเวทีประกวดธิดาแรงงานเมื่อเดือนพฤษภาคม 2555
ใครจะรู้ว่า “ปุ้ย” รสริน ชนะมิตร์ ก่อนจะก้าวมาอยู่หัวแถวขับเคลื่อนข่าวไทยรัฐทีวี เธอเป็นนักข่าวสาวผู้มีแนวคิดอุดมการณ์และความสามารถสมเป็นสื่อมวลชนรุ่นใหม่ไฟแรงของค่ายคนข่าวทีวีน้องใหม่ “โพสต์ นิวส์”
เกิดที่โรงพยาบาลศิริราช ทว่าไปโตที่ภูเก็ตใช้ชีวิตอยู่กับอากง อาม่า ก่อนสอบเข้าโรงเรียนประจำที่จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จังหวัดตรัง มุ่งหวังอยากเป็นหมอ เพราะจะได้มีโอกาสดูแลผู้บังเกิดเกล้ายามแก่ชรา ประกอบกับครอบครัวทำธุรกิจค้าขายไม่มีใครมาทางอาชีพนี้เลย ขณะที่ตัวเองก็เรียนเก่ง ได้เกรดเฉลี่ย 4.00 เมื่อจบมัธยมปลายถึงเลือกสอบคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยมหิดล
ปรากฏว่า สอบไม่ติดทำเอาเสียใจร้องไห้ผิดหวังพักใหญ่ ทั้งที่ไม่เคยค้นพบตัวเองเลยว่า มีคุณสมบัติของนักเทศศาสตร์ มีคุณสมบัติของคนที่จะเป็นสื่อมวลชนได้อยู่ในตัว หากไม่บังเอิญเพื่อนพ่อที่ทำงานอยู่ช่อง 7 ไปหาที่บ้านแล้วแนะว่า อย่าไปคิดว่า ชีวิตสุดท้ายต้องเป็นหมอถึงจะประสบความสำเร็จ หลายคนไม่ได้จบหมอ ก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ หรือแม้แต่บางคนไม่ได้เรียนจบอะไรเลย แต่ก็ประสบความสำเร็จ มีเงินมีทอง มีทุกอย่าง มีความสุข
ปุ้ยจำวันนั้นแม่นว่า เพื่อนพ่อลองไปเรียนนิเทศศาสตร์ดูไหม เพราะหลายคนที่นั่งคุยกันวันนั้นก็บอกว่า เธอพูดจาฉะฉาน กล้าคิดในสิ่งที่มันแตกต่าง ตอนแรกเธอปฏิเสธ เพราะเป็นคนขี้อาย เป็นเด็กเรียนใส่แว่น ไม่กล้าแสดงออกในที่สาธารณะจะกล้าเฉพาะกับคนในครอบครัว สุดท้ายตัดสินใจเบนเข็มไปลองเรียนนิเทศศาสตร์ สอบติดคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขานิเทศศาสตร์ เอกวาทะวิทยา ทักษะการพูด มหาวิทยาลัยบูรพา
“ตอนเรียนอาจารย์เห็นแวว เหมือนที่คนอื่นบอก คนอื่นเห็นในตัวเรา แต่เราไม่เห็นตัวเองว่า มีคุณค่า มีอะไรทางด้านนี้อยู่ เรียนสักพักก็รู้ตัวเองมากขึ้น ได้อยู่กับตัวเอง รู้สึกว่า เราสามารถทำงานด้านนี้ได้ ตัดสินใจจะเอาดีทางด้านนี้ แต่ไม่คิดว่าจะต้องโดดเด่น แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ เริ่มค้นพบตัวเองเจอว่า ต้องเป็นนักข่าว” เจ้าตัวย้อนความหลัง
เรียนจบปริญญาตรีได้เกรดเฉลี่ย 3.24 ขาดไปแค่ .01 ไม่นั้นก็ได้เกียรตินิยม ปุ้ยก้าวไปสมัครที่เนชั่น ทีวี ด้วยความรู้สึกว่า เนชั่น สร้างคน ไม่ได้กีดกันในเรื่องของเด็กที่จะต้องมีประสบการณ์ ไม่ได้กีดกันในเรื่องของสถาบัน เพราะหลายที่ที่เธอไปสมัคร มักเจอคำถาม คุณเลือดสีชมพูหรือเปล่า คุณเหลืองแดงหรือเปล่า พอไม่ใช่ก็ไม่ได้ ปุ้ยบอกว่า เรามีความรู้สึก มันมีความเหลื่อมล้ำ ถ้ามีกำแพงแบบนี้ หากเราเข้าไปในองค์กรได้ เราก็จะไม่มีความสุข สู้เข้าไปที่เขาเปิดกว้าง ที่ที่เขาให้โอกาสดีกว่า
เธอกลายเป็นนักศึกษาจบใหม่เข้าไปทำงานข่าวทีวี ครั้งแรกสมัครเป็นนักข่าวการเมือง ผู้ใหญ่ในเนชั่นบอกว่า ไม่เหมาะ มีเหตุผลว่าเป็นผู้หญิง อาจไม่กล้าลุยกับงานการเมืองที่ค่อนข้างหนัก ทั้งที่ตัวเองอยากทำ เพราะชอบงานทางด้านการเมือง เขาให้ไปทำโต๊ะข่าวเศรษฐกิจแทน มีโอกาสเปิดหน้า ทำข่าว ที่ปกติเด็กจบใหม่น้อยคนมากจะได้เริ่มทำทีวีเลย มีโอกาสเรียนรู้งานระบบของทีวีทั้งหมด และยึดคติเสมอว่า “เราเป็นคน คนยิ่งทำยิ่งเก่ง ยิ่งแกร่ง เราไม่ใช่วัตถุ ยิ่งใช้ยิ่งเสื่อม”
เก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่ 7 เดือน ช่อง7 โทรมาทาบทาม เพราะเคยไปเขียนใบสมัครทิ้งไว้ ตอนแรกจะให้ไปทำโต๊ะข่าวการเมืองเป็นเหตุให้เธอตัดสินใจไป เพราะอยากทำมาก อยากเป็นนักข่าวการเมือง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ข้างหน้าจะไปเจออะไรบ้าง เนื่องจากมีคนขู่ตลอดว่างานมันหนัก แต่ตัวเองรู้สึกว่าชอบ พอไปจริง ๆ กลับให้ไปทำโต๊ะข่าวเศรษฐกิจอีก ไปอยู่รายการเด็ดเศรษฐกิจ เป็นรายการข่าวที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจทั้งหมด วิ่งข่าว ทำข่าวเปิดหน้า วิ่งเทป ตัดเทป เขียนสคริปต์ ลงเสียง ทำหมด
ทำได้สักระยะ โพสต์ พับลิชชิง จะเปิดทำธุรกิจทีวี อยากหาบุคลากรข่าวที่อายุไม่เยอะ ประสบการณ์ไม่เยอะมากที่สามารถพัฒนาทัศนคติที่จูนกันได้เป็นทีมใหม่ ปุ้ยถึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ ท่ามกลางคำถามที่ตามมามากมายว่า นึกอย่างไรถึงออกมาจากช่อง 7 “ปุ้ยอยากบอกว่า แต่ละองค์กร มีข้อดีข้อเสียต่างกัน อยู่ที่ว่าตัวเราใช่สำหรับองค์กรนั้นหรือเปล่า และเราคิดว่า องค์กรนี้ใช่สำหรับเราหรือเปล่า หลายคนคิดว่า ช่อง 7 โบนัสดี เงินเดือนดี สวัสดิการก็ดี ความมั่นคงก็มี ทำไมกล้าตัดสินใจออกมาอยู่กับโพสต์ นิวส์ที่เพิ่งเปิดใหม่ ไม่รู้จะเจ๊งเมื่อไหร่ แต่ปุ้ยมองว่า เรายังเด็กสามารถเปลี่ยนงานได้ และมีความรู้สึกว่า ช่อง 7 มั่นคงสำหรับคุณหรือ ไม่มีที่ไหนมั่นคงสำหรับคุณ แม้กระทั่ง บิ๊กบอสใหญ่ยังโดนปลด ความสามารถของคุณเท่านั้นที่จะทำให้คุณมั่นคงในชีวิตของคุณเองได้”
“ไม่ใช่ปุ้ยเป็นคนมีความสามารถเลิศเลอนะ แต่ก็จะพัฒนาทักษะทุก ๆ อย่างที่จะนำไปใช้กับงาน ไม่ว่าเป็นการพูด การอ่าน การเขียน หรือการแตกยอดความคิด การพัฒนาความคิด กระบวนการความคิดทุกอย่าง อยากหาสิ่งใหม่ให้กับชีวิตตัวเอง หลายคนชอบตั้งคำถาม โง่หรือเปล่าออกมาจากช่อง 7 ช่อง 3 ชวนไปก็ไม่ไป ปุ้ยจะตอบเสมอว่า ไม่ใช่ ให้ลองคิดย้อนกลับไปดี ๆ ไม่มีที่ไหนมั่นคงสำหรับใคร” นักข่าวสาวให้เหตุผลย้ายจากวิกหมอชิตไปอยู่ค่ายน้องใหม่ที่ใช้เวลาออกอากาศผ่านทางช่อง 11
เธอว่า มาคุยกับโพสต์ เขามีเงื่อนไขให้เราคิด ให้เราทำเอง มันตรงกับตัวเรา ไม่ใช่ทำตามสั่งวางกรอบแล้วไม่เปิดให้เราคิดแตกแขนงเลย อายุเรายังไม่เยอะ ขืนเป็นแบบนั้น นานเข้าสมองมันจะฝ่อ การเข้ามาที่โพสต์ไม่ใช่ว่า ให้เงินเดือนสูงกว่าที่เดิมแล้วเราจะมาเลย เงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญสำหรับคนที่มีอุดมการณ์ แต่ไม่ใช่อุดมการณ์จ๋าจนลืมสิ่งที่มันเป็นจริงในชีวิตประจำวัน แต่เลือกจะมาเพราะคุยกันในเรื่องทัศนคติ แนวทางการทำงาน สิ่งที่เราจะทำแล้วสามารถสะท้อน หรือมอบอะไรให้แก่สังคมกลับไปได้บ้างถึงจะไม่เยอะ เพราะเราไม่ใช่นักสังคมศาสตร์ ถือว่าน่าจะไปกันได้
ปัจจุบัน ปุ้ยทำงานโพสต์ นิวส์ได้ 2 ปี ทำข่าวเศรษฐกิจจนเริ่มขึ้นมาอ่านข่าวเที่ยงเศรษฐกิจขยับตัวเองเป็นผู้ประกาศข่าว เธอออกตัวว่า ไม่เคยใฝ่ฝันจะเป็นผู้ประกาศ ตอนอยู่เนชั่นได้มีโอกาสเปิดหน้าทำข่าว ผู้ใหญ่เห็นก็บอกว่า มีแวว แต่เราก็ไม่คิดทะเยอทะยาน และไม่ต้องการที่จะต้องเหยียบคนอื่นขึ้นไป ถ้าโอกาสมาก็ทำ ไม่มีโอกาสก็ไม่เป็นไร ถึงวันนี้ผู้ใหญ่ให้โอกาสเลยผันจากนักข่าวมาเป็นผู้ประกาศด้วยก็เป็นเรื่องดี
ทำไปทำมากลับจับพลัดจับผลูขึ้นเวทีประกวดนางงามหน้าตาเฉย เธอเล่าว่า เข้าไปช่วยเป็นพิธีกรให้โพสต์ทูเดย์ ทีวี อีกเครือของโพสต์ พับลิชชิง ช่างที่กำลังแต่งหน้าเราอยู่ชอบส่งเด็กเข้าประกวดนางงามเวทีต่าง ๆ มาบ่นว่า เด็กที่จะส่งโทรศัพท์มายกเลิก เลยบ่นเซ็งบ่น ไปรับปากกองประกวดแล้ว เพราะคนประกวดน้อยมาก เอาคนที่มีบัตรประกันสังคมถึงประกวดได้ อยู่ ๆ ก็มาตื้อให้เราช่วยลงประกวดหน่อย เรามานั่งนึก เป็นอะไรที่แปลกดี เราไปเดินบนเวทีที่ไม่ใช่เส้นทางของเราเลยกับการประกวดนางงาม รู้สึกว่า อยากลอง ที่บอกว่ามีเส้นสายจริงหรือ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร รู้สึกว่า มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ครั้งหนึ่งเกิดมาในชีวิตได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ถือเป็นกำไรชีวิต
“โชคดีที่ตัดสินใจเข้าประกวด มันได้อะไรหลายอย่าง ได้มุมมองที่แปลก เป็นอีกห้องเรียนที่เราได้เรียนรู้จากเพื่อน เรียนรู้จากแนวคิดของแต่ละคน เรียนรู้การทำงานเบื้องหลังประกวดนางงาม ได้แสดงแนวคิดให้หลายคนได้เห็นว่า เรามีศักยภาพ อย่างตอบคำถามรอบแรก ได้คำถามว่า ในฐานะที่คุณเป็นผู้หญิง คุณจะสามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างไร มันตรงกับตัวเราพอดี เราชอบที่จะคิดที่จะพูดที่จะทำ ถึงจะไม่ได้รางวัลก็ไม่เป็นไร”
เป้าหมายในอนาคต เธอกลับมีความฝันอยากลงเล่นการเมืองหลังอิ่มตัวกับงานข่าว สาวโพสต์ทีวียืนยันเป็นความตั้งใจจริง เพราะได้มุมมองมาจากอดีตสมัยเรียน เพื่อนหลายคนเป็นเด็กบ้านนอกไม่มีเงินเรียนต่อมัธยม พอจบมาก็ท้อง มีครอบครัว ชีวิตเขาเปลี่ยน เลวร้ายไปเลย มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งตบตี เพราะเขาไม่ได้รับการศึกษา เพราะเขาไม่มีเงิน เรารู้สึกว่า เพื่อนหลายคนทั้งสวยทั้งเก่ง ถ้าเขาได้มีการศึกษาน่าจะไปได้ดีกว่าการที่มีสามี โดนทุบตี
“ปุ้ยคิดว่า วันหนึ่งถ้ามีโอกาสไม่ว่า จะได้เล่นการเมืองหรือไม่ก็ตาม อยากช่วยสังคมในเรื่องของการศึกษา เพราะเป็นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ยกตัวอย่างอดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย คุณแม่เป็นแม่ค้าขายของในตลาด ถ้าวันหนึ่งไม่ได้ส่งลูกเรียน วันหนึ่งคุณชวนก็คงเป็นได้แค่พ่อค้าในตลาด ไม่ได้มีโอกาสมาเป็นผู้นำประเทศแบบนี้ มันอาจดูเหมือนเป็นคำพูดแบบนางงามนะ แต่อันนี้คือความตั้งใจจริงของปุ้ย” นักข่าวสาวมากอุดมการณ์บอกทิ้งท้าย